| ต่อมาในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๖ สมัยรัฐบาลของพลเอกเปรม 
                          ติณสูลานนท์ นายชำเลือง วุฒิจันทร์ อธิบดีการการศาสนา 
                          ได้นำเรื่องการรับรองวุฒิเปรียญธรรม ๙ ประโยค และปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง 
                          เสนอกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาดำเนินการ นายสมาน 
                          แสงมะลิ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอเรื่องนี้ ต่อที่ประชุมอธิบดี 
                          เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่ประชุมอธิบดีมีมติเห็นชอบในหลักการที่จะรับรองวุฒ 
                          ิเปรียญธรรม ๙ ประโยค และปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ 
                          ทั้งสองแห่ง และมอบหมาย ให้การการศาสนาดำเนินงาน โดยให้ประสานงาน 
                          กับทบวงมหาวิทยาลัย และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 
                          (ก.พ.)   สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเสนอว่า ก่อนที่จะรับรองวุฒิเปรียญธรรม 
                          ๙ ประโยคและปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง กระทรวงการศึกษาธิการ 
                          ควรเทียบวุฒิ เปรียญธรรมประโยคต่างๆ กับวุฒิการศึกษาตามหลักสูตรมัธยมศึกษาในระบบโรงเรียน 
                          จากนั้นก็ได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม 
                          พ.ศ. ๒๕๒๖ เรื่องการเทียบความรู้วุฒิเปรียญธรรม ดังนี้ 
                          คือ เปรียญธรรม ๓ ประโยค (ป.ธ. ๓) เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนต้น 
                          (ม.๓) และเปรียญธรรม ๕ ประโยค (ป.ธ. ๕) เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลาย 
                          (ม.๖)  ต่อมาในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๖ นายสวัสดิ์ คำประกอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 
                          ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา 
                          เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้คล้ายกับพระราชบัญยัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร 
                          พ.ศ. ๒๔๙๗ และพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการตำรวจ 
                          พ.ศ. ๒๕๑๗ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับคือกำหนดให้เปรียญธรรม 
                          ๙ ประโยคและปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมีศักดิ์และสิทธิเท่าปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยทั่วไป  สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาได้ส่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาล่วงหน้า 
                          สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาเมื่อวันที่ 
                          ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๖ และกระทรวงศึกษาธิการส่งเรื่องต่อให้กรมการศาสนาพิจารณา 
                          เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖  กรมการศาสนาพิจารณาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแล้วส่งเรื่องกลับกระทรวงศึกษาธิการ 
                          กระทรวงศึกษาธิการได้ทำเรื่องเสนอต่อไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 
                          เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๖  ในวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ คณะรัฐมนตรีซึ่งมี พลเอกเปรม 
                          ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา 
                          พ.ศ
ของกระทรวงศึกษาธิการแล้วมีมติรับหลักการและให้ส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาต่อไป  ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ สมาคมศิษย์เก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
                          ได้จัดประชุมสัมมนาเรื่องสถานภาพของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ณ 
                          สำนักธรรมวิจัยโดยอาราธนาพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) 
                          บรรยายเรื่อง " ความเป็นมาของพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ 
                          " ที่ประชุมได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการประสานงาน ของพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ 
                          ขึ้นมาคณะหนึ่ง มีนายจำนงค์ ทองประเสริฐ เป็นประธาน  คณะกรรมการชุดนี้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม 
                          พ.ศ. ๒๕๒๗ ที่ประชุมแสดงความห่วงใยว่า ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนาที่คณะรัฐมนตรี 
                          เห็นชอบนั้นไม่มีการรับรองสถานภาพ มหาวิทยาลัยสงฆ์สาระสำคัญอยู่ที่การรับรองวุฒิเปรียญธรรม 
                          ๙ ประโยคและปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ที่ประชุมได้รับทราบมติของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ว่า 
                          ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่สามารถรับรองสถานภาพของมหาวิทยาลัยสงฆ์ 
                          เพราะมีเรื่องการรับรองวุฒิเปรียญธรรม ๙ ประโยคพ่วงเข้ามา  ในวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 
                          ๑๑/๒๕๒๗ ได้พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยาฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา 
                          พ.ศ.... ซึ่งมี ๔ ฉบับคือร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยรัฐบาล 
                          นายสวัสดิ์ คำประกอบ นายนิยม วรปัญญา นายณรงค์ นุ่นทอง 
                          แล้วมีมติรับหลักการและตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาโดยใช้รางของรัฐบาลเป็นหลัก  คณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน ๒๕ ท่าน มี นายสัมพันธ์ ทองสมัคร 
                          เป็นประธาน นายชำเลือง วุฒิจันทร์ เป็นเลขานุการ และมีนายจำนงค์ 
                          ทองประเสริฐ นายสิริ เพ็ชรไชย นายมาณพ พลไพรินทร์ ร่วมเป็นกรรมาธิการในคณะนี้ 
                          คณะกรรมาธิการใช้เวลาพิจารณาเพียง ๑ เดือนก็เสนอสภาผู้แทนราษฎร  ในวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 
                          ๒/๒๕๒๗ (สมัยวิสามัญ) ได้ลงมติเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ 
                          ๓ แล้วให้เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณา  ในวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๗ วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ 
                          พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ 
                          โดยมีพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเมื่อวันที่ 
                          ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๗ พระราชบัญญัติฉบับนี้มี ๑๓ มาตรา 
                          ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐๑ ตอนที่ ๑๔๐ 
                          วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗  สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้คือรับรองวิทยฐานะเปรียญธรรม 
                          ๙ ประโยค และปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งให้มีศักดิ์ 
                          และสิทธิเท่าปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยทั่วไป และให้มีคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์เป็นผู้ควบคุมดูแลการจัดการศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ |