| พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
                        ได้ทรงสถาปนามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้น โดยให้ย้ายการสอนพระปริยัติธรรมจากศาลาบอกพระปริยัติธรรม 
                        ภายในวันพระศรีรัตนศาสดาราม ไปตั้งที่วัดมหาธาตุ เพื่อเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์มหานิกายและคฤหัสถ์ 
                        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ และโปรดให้เรียกว่า มหาธาตุวิทยาลัย 
 
 มหาธาตุวิทยาลัย ได้เปิดทำการสอนเป็นทางการ เมื่อวันที่ 
                        ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ต่อมา พระยาภาสกรวงศ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ 
                        ได้ยกร่างพระราชบัญญัติฉบับแรกของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
                        เรียกว่าร่างพระราชบัญญัติมหาธาตุวิทยาลัย ร.ศ.๑๑ (พ.ศ.๒๔๓๔) 
                        ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
                        เพื่อทรงนำเข้าปรึกษาในที่ประชุมเสนาบดี ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ยังไม่ได้ลงพระปรมาภิไธย 
                        จึงถือว่ายังมิได้เป็นพระราชบัญญัติที่มีผลบังคับใช้แต่อย่างใด
  ประเด็นที่น่าสนใจในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ซึ่งมี 
                          ๒๔ มาตราอยู่ที่มาตรา ๑ ที่กำหนดให้วิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถานศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ดังนี้  " มาตรา ๑ มหาธาตุวิทยาลัยนี้ให้ตั้งขึ้นโดยราชูปถัมภกบำรุงพระบรมพุทธศาสนา 
                          เป็นที่สั่งสอนพระบาลีคัมภีร์พระไตรปิฏก พุทธพจนภาษิต 
                          แก่ภิกษุสามเณรฝ่ายคณะมหานิกายและคฤหัสถ์ ตามแต่มีความศรัทธาจะศึกษาสืบเสาะข้อวัตรปฏิบัติพุทธภาษิต 
                          ซึ่งจะได้เป็นคณาจารย์สืบไป "  ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้คิดแบบสร้างถาวรวัตถุ 
                          เรียกว่า สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย ขึ้นในวัดมหาธาตุ เพื่อใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศลพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ 
                          และทรงประสงค์จะอุทิศถวายถาวรวัตถุนี้เป็นสังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย 
                          เพื่อเป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติสีทธรรมและวิชาชั้นสูง 
                          โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล่าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาก่อพระฤกษ์ 
                          เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๙ และได้พระราชทานเปลี่ยนนามมหาธาตุวิทยาลัยเป็นมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ 
                          ตามประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย 
                          ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) ความตอนหนึ่งว่า  " จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งวิทยาลัยที่เล่าเรียนพระไตรปิฏกแลวิชาชั้นสูงขึ้น 
                          ๒ สถาน ๆ หนึ่งเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย 
                          ได้ตั้งไว้ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวง พระราชทานนามว่า 
                          มหามกุฏราชวิทยาลัย
อีกสถานหนึ่งเป็นที่เล่าเรียน ของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย 
                          ได้ตั้งไว้ที่วัดมหาธาตุราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวงนี้ 
                          มีนามว่ามหาธาตุวิทยาลัย ได้เปิดการเล่าเรียนแต่วันที่ 
                          ๘ พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ ศก ๑๐๘ สืบมา แต่สังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัยนี้ยังไม่เป็นที่สมควรแก่การเล่าเรียน
  เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนนั้นเสร็จแล้วจะได้ทรงพระราชอุทิศถวายถาวรวัตถุนี้เป็นสังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย 
                          เพื่อเป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติสัทธรรมแลวิชาชีพชั้นสูงสืบไปภายหน้า 
                          พระราชทานเปลี่ยนนามใหม่ว่า มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้เป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศสืบไป
 
                          "  มหาจุฬาลงกรณราชวิยาลัย ได้จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนเดิมในนามมหาธาตุวิทยาลัยตลอด 
                          จนกระทั่งวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระมหาเถรานุเถระ 
                          ฝ่ายมหานิกายจำนวน ๕๗ รูป มีพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) 
                          เป็นประธานได้ประชุมกัน ณ ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุฯ ประกาศให้ 
                          มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดำเนินการจัดการศึกษาในรูปมหาวิทยาลัย 
                          ตามพระราชปณิธาน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
                          มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เปิดการศึกษารูปแบบมหาวิทยาลัย 
                          ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา  ในช่วงการเตรียมการประชุมพระมหาเถรานุเถระ เพื่อประกาศให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจัดการศึกษา 
                          ในรูปมหาวิทยาลัยนั้น หลวงวิจิตรวาทการ ได้ทำการบันทึกโครงการปรับปรุงมหาธาตุวิทยาลัยหรือมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
                          เพื่อประกอบการพิจารณาของที่ประชุม  ในบันทึกดังกล่าวนี้ หลวงวิจิตรวาทการเสนอว่า สถานศึกษาในรูปแบบมหาวิยาลัยที่วัดมหาธาตุนี้ 
                          ถ้าใช้ชื่อมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนี้จะได้ประโยชน์ที่สำคัญคือมีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยตามกฎหมาย 
                          หลวงวิจิตรวาทการได้อ้างประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย 
                          ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) แล้วสรุปประเด็นไว้ว่า  " ชื่อมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นชื่อที่มีอยู่ในประกาศรัชกาลที่ 
                          ๕ ซึ่งมีผลเป็นกฎหมาย ถ้าใช้ชื่อนี้ได้ อาจทำให้สำนักเรามีฐานะเป็นมหาวิทยาลัยตามกฎหมายการให้ปริญญาจะเป็นการสมบูรณ์และทางบ้านเมือง 
                          ก็จะต้องรับรองฐานะของมหาวิทยาลัยนี้เท่าเทียมกับมหาวิทยาลัยของบ้านเมืองเอง 
                          "  อย่างไรก็ตาม แม้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะได้เปิดการศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัยตั้งแต่ 
                          พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ทางบ้านเมืองก็มิได้รับรองสถานภาพให้เป็นมหาวิทยาลัยตามกฎมาย 
                          นั่นคงเป็นเพราะว่าประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย 
                          ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) ที่หลวงวิจิตรวาทการกล่าวถึงนั้นเป็นเพียงประกาศพระราชปรารภในการวางศิลาฤกษ์อาคารของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
                          ซึ่งไม่อาจถือได้ว่า เป็นพระราชบัญญัติมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  เพราะเหตุที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยไม่มีพระราชบัญญัติรับรองสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยตามกฎหมาย 
                          รัฐบาลและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยจึงได้ดำเนินการต่างกรรมต่างวาระในช่วงเวลากว่า 
                          ๔๐ ปีเพื่อให้มีการตราพระราชบัญญัติรับรองสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยให้กับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
 
 |